วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สิ่งที่ปลาวาฬสีน้ำเงินสามารถกลืนลงไปได้
ปลาอะไรคือสิ่งที่มีขนาดใหญ่สุดที่ปลาวาฬสีน้ำเงินสามารถกลืนลงไปได้
ก.เห็ดที่มีขนาดใหญ่มาก
ข.รถยนต์ขนาดย่อมหนึ่งคัน
ค.ส้มโอหนึ่งผล
ง.กะลาสีเรือหนึ่งคน
ส้มโอหนึ่งผล
เรื่องที่น่าสนใจคือ ลำคอของปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดแทบจะเท่ากับสะดือของมัน (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่สลัด) แต่มีขนาดเล็กกว่าเยื่อแก้วหูของมันเล็กน้อย (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่อาหาร)
ตลอดระยะเวลาแปดเดือนในแต่ละปี ปลาวาฬสีน้ำเงินแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย แต่พอย่างเข้าฤดูร้อน พวกมันแทบจะไม่ได้หยุดกินเลย โดยสวาปามอาหารเข้ไปมากถึงวันละ 3 ตัน คุณอาจจะพอจำได้จากชั้นเรียนวิชาชีววิทยาว่า อาหารของพวกมันคือพวกสัตว์มีเปลือกสีชมพูขนาดเล็กคล้าย ๆ กับกุ้ง ซึ่งมีชื่อเรียกตัวเคย (krill) ซึ่งจะถูกกลืนลงกระเพาะของปลาวาฬราวกับกลืนน้ำผึ้งเลยทีเดียว ตัวเคยจะมาให้สวาปามครั้งละเป็นฝูงแต่ละฝูงมีขนาดมหึมา โดยอาจหนักได้มากกว่า 100.000 ตันเลยทีเดียว
krill เป็นคำที่มาจากภาษานอร์เวย์ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า kriel ในภาษาดัตช์ หมายความว่า "ลูกปลาน้อย" และทุกวันนี้ยังคงนำไปใช้แทนความหมายว่า "คนแคระ" และ "เรื่องขี้ปติ๋ว" อีกด้วย ทั้งนี้ได้มีการผลิตและจำหน่ายตัวเคยแท่งในชิลี ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ตัวเคยบดกลับกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในรัสเซีย โปแลนด์และแอฟริกาใต้ เนื่องจากปนเปื่อนฟลูออไรด์ในระดับที่เป็นอันตรายซึ่งมาจากเปลือกของมันที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะคัดออกทีละตัวก่อนนำไปบดได้
ดังนั้น การที่ปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดลำคอแคบ ๆ จึงหมายความว่า มันไม่อาจกลืนคนลงไปได้ ปลาวาฬชนิดเดียวที่มีลำคอกว้างพอจะกลืนคนลงไปได้คือปลาวาฬสเปิร์ม แต่เมื่อเข้าไปในตัวมันแล้ว ของเหลวภายในท้องของมันซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากก็ทำให้การรอดชีวิตเป็นไปไม่ได้เลย อย่างในกรณีของ "เจมส์ บาร์ทลีย์" ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อปี 1891 นั้น เจมส์ บาร์ทลีย์อ้างว่าเขถูกปลาวาฬสเปิร์มกลืนลงไปและถูกเรือของเขาเองช่วยเหลือออกมาในอีก 15 ชั่วโมงหลัง ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง
ถ้าไม่นับลำคอแล้ว ทุกสิงทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ปลาวาฬสีน้ำเงินล้วนมีขนาดมหึมาทั้งสิ้น ด้วยขนาดลำตัวยาวถึง 32 เมตร มันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใหญ่กว่าไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่ที่สุดถึง 3 เท่าและมีน้ำหนักเท่ากับคน 2,700 คนรวมกัน ลิ้นของมันหนักกว่าช้าง 1 เชือกเสียอีก หัวใจมีขนาดเท่ากับรถยนต์หนึ่งคัน กระเพาะสามารถบรรจุอาหารได้มากกว่า 2 ตัน นอกจากนี้มันยังสร้างเสียงได้ดังกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก โดยเสียงร้องความถี่ต่ำของมันสามารถตรวจจับได้ได้โดยปลาวาฬตัวอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกลถึง 16,000 กิโลเมตร
ก.เห็ดที่มีขนาดใหญ่มาก
ข.รถยนต์ขนาดย่อมหนึ่งคัน
ค.ส้มโอหนึ่งผล
ง.กะลาสีเรือหนึ่งคน
ส้มโอหนึ่งผล
เรื่องที่น่าสนใจคือ ลำคอของปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดแทบจะเท่ากับสะดือของมัน (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่สลัด) แต่มีขนาดเล็กกว่าเยื่อแก้วหูของมันเล็กน้อย (ซึ่งมีขนาดประมาณจานใส่อาหาร)
ตลอดระยะเวลาแปดเดือนในแต่ละปี ปลาวาฬสีน้ำเงินแทบจะไม่ได้กินอะไรเลย แต่พอย่างเข้าฤดูร้อน พวกมันแทบจะไม่ได้หยุดกินเลย โดยสวาปามอาหารเข้ไปมากถึงวันละ 3 ตัน คุณอาจจะพอจำได้จากชั้นเรียนวิชาชีววิทยาว่า อาหารของพวกมันคือพวกสัตว์มีเปลือกสีชมพูขนาดเล็กคล้าย ๆ กับกุ้ง ซึ่งมีชื่อเรียกตัวเคย (krill) ซึ่งจะถูกกลืนลงกระเพาะของปลาวาฬราวกับกลืนน้ำผึ้งเลยทีเดียว ตัวเคยจะมาให้สวาปามครั้งละเป็นฝูงแต่ละฝูงมีขนาดมหึมา โดยอาจหนักได้มากกว่า 100.000 ตันเลยทีเดียว
krill เป็นคำที่มาจากภาษานอร์เวย์ ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำว่า kriel ในภาษาดัตช์ หมายความว่า "ลูกปลาน้อย" และทุกวันนี้ยังคงนำไปใช้แทนความหมายว่า "คนแคระ" และ "เรื่องขี้ปติ๋ว" อีกด้วย ทั้งนี้ได้มีการผลิตและจำหน่ายตัวเคยแท่งในชิลี ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ตัวเคยบดกลับกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในรัสเซีย โปแลนด์และแอฟริกาใต้ เนื่องจากปนเปื่อนฟลูออไรด์ในระดับที่เป็นอันตรายซึ่งมาจากเปลือกของมันที่มีขนาดเล็กเกินกว่าจะคัดออกทีละตัวก่อนนำไปบดได้
ดังนั้น การที่ปลาวาฬสีน้ำเงินมีขนาดลำคอแคบ ๆ จึงหมายความว่า มันไม่อาจกลืนคนลงไปได้ ปลาวาฬชนิดเดียวที่มีลำคอกว้างพอจะกลืนคนลงไปได้คือปลาวาฬสเปิร์ม แต่เมื่อเข้าไปในตัวมันแล้ว ของเหลวภายในท้องของมันซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากก็ทำให้การรอดชีวิตเป็นไปไม่ได้เลย อย่างในกรณีของ "เจมส์ บาร์ทลีย์" ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อปี 1891 นั้น เจมส์ บาร์ทลีย์อ้างว่าเขถูกปลาวาฬสเปิร์มกลืนลงไปและถูกเรือของเขาเองช่วยเหลือออกมาในอีก 15 ชั่วโมงหลัง ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องโกหกหลอกลวง
ถ้าไม่นับลำคอแล้ว ทุกสิงทุกอย่างที่เกี่ยวกับ ปลาวาฬสีน้ำเงินล้วนมีขนาดมหึมาทั้งสิ้น ด้วยขนาดลำตัวยาวถึง 32 เมตร มันจึงเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ใหญ่กว่าไดโนเสาร์ที่ตัวใหญ่ที่สุดถึง 3 เท่าและมีน้ำหนักเท่ากับคน 2,700 คนรวมกัน ลิ้นของมันหนักกว่าช้าง 1 เชือกเสียอีก หัวใจมีขนาดเท่ากับรถยนต์หนึ่งคัน กระเพาะสามารถบรรจุอาหารได้มากกว่า 2 ตัน นอกจากนี้มันยังสร้างเสียงได้ดังกว่าสัตว์ชนิดใดในโลก โดยเสียงร้องความถี่ต่ำของมันสามารถตรวจจับได้ได้โดยปลาวาฬตัวอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปไกลถึง 16,000 กิโลเมตร
สิ่งมีชีวิตใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร
สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคืออะไร
มันคือเห็ด
และมันก็ไม่ได้เป็นเห็ดสายพันธุ์ที่หายากแต่อย่างใด ้คุณอาจมีเจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่น(honey mushrooms)
ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Armillaria ostoyae) อยู่ในสวนของคุณก็ยังเป็นได้โดยมันจะเจริณเติบโตบนซากต้นที่ตายแล้ว ถ้าโชคดี หวังว่าเห็ดในสวนของคุณคงไม่เติบโตจนมีขนาดเท่ากับเห็ดที่ได้รับการบันทึกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแมลเฮียร์ ในรัฐโอเรกอน โดยปกคลุมพื้นที่ถึง 9 ตารางกิโลเมตรและมีชีวิตอยู่มานานถึง 2,000 ถึง 8,000 ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้พื้นดินในรูปของผืนใยสีขาวที่พันกันยุ่งเหยิงเป็นจำนวนมาก (เปรียบเสมือนรากของเห็ด) แผ่ขยายชอนไชไปตามรากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นตาย และโผล่พ้นผิวดินออกมาบางครั้งในรูปของเห็ดโคนญี่ปุ่นหน้าตาไร้เดียงสา
ดิมทีนั้นมีการคิดกันว่า เจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่นยักษ์แห่งโอเรกอนนี้เจริญเติบโตแยกกันเป็นกลุ่ม ๆ กระจายไปทั่วทั้งป่า แต่ ปัจจุบันบรรดานักวิจัยได้ยืนยันแล้วว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อมประสานกันอยู่ใต้พื้นดิน
มันคือเห็ด
และมันก็ไม่ได้เป็นเห็ดสายพันธุ์ที่หายากแต่อย่างใด ้คุณอาจมีเจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่น(honey mushrooms)
ซึ่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า (Armillaria ostoyae) อยู่ในสวนของคุณก็ยังเป็นได้โดยมันจะเจริณเติบโตบนซากต้นที่ตายแล้ว ถ้าโชคดี หวังว่าเห็ดในสวนของคุณคงไม่เติบโตจนมีขนาดเท่ากับเห็ดที่ได้รับการบันทึกว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติแมลเฮียร์ ในรัฐโอเรกอน โดยปกคลุมพื้นที่ถึง 9 ตารางกิโลเมตรและมีชีวิตอยู่มานานถึง 2,000 ถึง 8,000 ปีมาแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้พื้นดินในรูปของผืนใยสีขาวที่พันกันยุ่งเหยิงเป็นจำนวนมาก (เปรียบเสมือนรากของเห็ด) แผ่ขยายชอนไชไปตามรากต้นไม้ ทำให้ต้นไม้เหล่านั้นตาย และโผล่พ้นผิวดินออกมาบางครั้งในรูปของเห็ดโคนญี่ปุ่นหน้าตาไร้เดียงสา
ดิมทีนั้นมีการคิดกันว่า เจ้าเห็ดโคนญี่ปุ่นยักษ์แห่งโอเรกอนนี้เจริญเติบโตแยกกันเป็นกลุ่ม ๆ กระจายไปทั่วทั้งป่า แต่ ปัจจุบันบรรดานักวิจัยได้ยืนยันแล้วว่า มันเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่งเดียวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อมประสานกันอยู่ใต้พื้นดิน
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
พายุลูกเห็บตกมากที่สุดที่ไหน
คุณมีโอกาสเผชิญกับพายุลูกเห็บมากที่สุดที่ไหน
บริเวณที่ราบสูงทางตะวันตกของประเทศเคนยา ในทวีปแอฟริกา ในแง่ของค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปี เคริโช่ในเคนย่ามีลูกเห็บตกมากกว่าที่อื่นใดบนโลกใบนี้ โดยมีลูกเห็บตดปีละ 132 วัน และเมื่อเปลียบเทียบกันแล้ว มีลูกเห็บตกในสหราชอาณาจักรเฉลี่ยปีละ 15 วันเท่านั้น ขณะที่ทางตะวันออกของเทือกเขาร็อคกี้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกเห็บมากที่สุดในสหรัฐอเมริกานั้น มีลูกเห็บตกเฉลี่ยเพียงแค่ปีละ 45 วันเท่านั้น
ปัจจุบันยังไม่มีใครเข้าใจแจ่มแจ้งถึงสาเหตุของการเกิดลูกเห็บตกมากมาย ิเคริโช่เป็นพื้นที่เพาะปลูกใบชาของเคนยาจากการศึกาาเมื่อปี 1978 พบว่า สารอินทรีย์ที่ย่อยสลายจากต้นชาลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และทำหน้าที่เสมือนเป็นจุดศูณย์กลางในการเติบโตของก้อนลูกเห็บ
อีกทฤษฎีหนึ่งมีอยู่ว่า ต้นเหตุอาจเกิดมาจากความชันสูงของภูมิภาคนี้ ซึ้งทำให้อากาศอบอุ่นจำนวนมากยกตัวสูงขึ้นและควบแน่นอย่างรวดเร็ว ปรากฎการณ์นี้ผนวกกับการที่พื้นที่ดังกล้าวอยู่ห่างจากชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิเท่ากับจุดเยือกแข็งไม่มากนัก (แค่ปริมาณ 5 กิโลเมตร) โอกาสที่ก้อนลูกเห็บจะละลายจึงลดลง
ลูกเห็บก้อนใหญ่ที่สุดที่ได้รับการบันทึกอยู่ที่สหรัฐนี่เองโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว เส้นรอบวง 18.75 นิ้ว และหนักเกือบครึ่งกิโลกรัม มันตกในสวนของบ้านหลังหนึ่งในเมืองออโรร่ารัฐเนบราสกา เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2003 ลูกเห็บก้อนนี้มีขนาดใหญ่ทะลุมาตรวัดขนาดลูกเห็บอย่างเป็นทางการของสหรัฐ ซึ่งเริ่มต้นจากขนาดเท่าขนาด"เมล็ดถั่ว" ไล่เรียงไปเป็นลูกเหม็นวอลนัท ถ้วยน้ำชา จนถึงลูกซอฟต์บอล ก้อนลูกเห็บของออโรร่านี้มีขนาดพอ ๆ กับผลแตงโมขนาดย่อม และพุ่งลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ลูกเห็บสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและพืชผลของสหรัฐเป็นมูลค่ามากถึงปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 1984 พายุลูกเห็บลูกหนึ่งเข้าโจมตีนครมิวนิค ประเทศเยอรมนี สร้างความเสียหายให้แก่ต้นไม้ อาคาร และยานพาหนะจำนวนมหาศาล คิดเป็นมูลค่ามากถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ ทั้ง ๆ ที่พายุลูกดังกล่าวกินเวลาไม่นานในช่วงบ่ายวันนั้น ต้นไม้ถูกกวาดเรียบออกจากสองฝั่งแม่น้ำ ท้องไร่ถูกทำลายจนจำสภาพเดิมไม่ได้ อาคารมากกว่า 70,000 หลังและรถยนต์มากกว่า 250,000 คันได้รับความเสียหายย่อยยับ รวมทั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 400 คน
อย่างไรก็ตาม พายุลูกเห็บที่ร้ายแรงที่สุดในโลกเกิดขึ้นที่ ตำบลโกปาลังจ์ (Gopalanj) ในบังคลาเทศ
เมื่อเดือนเมษายนปี 1986 ลูกเห็บบางก้อนหนักมากกว่า 1 กิโลกรัม และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 คน
บริเวณที่ราบสูงทางตะวันตกของประเทศเคนยา ในทวีปแอฟริกา ในแง่ของค่าเฉลี่ยตลอดทั้งปี เคริโช่ในเคนย่ามีลูกเห็บตกมากกว่าที่อื่นใดบนโลกใบนี้ โดยมีลูกเห็บตดปีละ 132 วัน และเมื่อเปลียบเทียบกันแล้ว มีลูกเห็บตกในสหราชอาณาจักรเฉลี่ยปีละ 15 วันเท่านั้น ขณะที่ทางตะวันออกของเทือกเขาร็อคกี้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกเห็บมากที่สุดในสหรัฐอเมริกานั้น มีลูกเห็บตกเฉลี่ยเพียงแค่ปีละ 45 วันเท่านั้น
ปัจจุบันยังไม่มีใครเข้าใจแจ่มแจ้งถึงสาเหตุของการเกิดลูกเห็บตกมากมาย ิเคริโช่เป็นพื้นที่เพาะปลูกใบชาของเคนยาจากการศึกาาเมื่อปี 1978 พบว่า สารอินทรีย์ที่ย่อยสลายจากต้นชาลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ และทำหน้าที่เสมือนเป็นจุดศูณย์กลางในการเติบโตของก้อนลูกเห็บ
อีกทฤษฎีหนึ่งมีอยู่ว่า ต้นเหตุอาจเกิดมาจากความชันสูงของภูมิภาคนี้ ซึ้งทำให้อากาศอบอุ่นจำนวนมากยกตัวสูงขึ้นและควบแน่นอย่างรวดเร็ว ปรากฎการณ์นี้ผนวกกับการที่พื้นที่ดังกล้าวอยู่ห่างจากชั้นบรรยากาศที่มีอุณหภูมิเท่ากับจุดเยือกแข็งไม่มากนัก (แค่ปริมาณ 5 กิโลเมตร) โอกาสที่ก้อนลูกเห็บจะละลายจึงลดลง
ลูกเห็บก้อนใหญ่ที่สุดที่ได้รับการบันทึกอยู่ที่สหรัฐนี่เองโดยมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 นิ้ว เส้นรอบวง 18.75 นิ้ว และหนักเกือบครึ่งกิโลกรัม มันตกในสวนของบ้านหลังหนึ่งในเมืองออโรร่ารัฐเนบราสกา เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2003 ลูกเห็บก้อนนี้มีขนาดใหญ่ทะลุมาตรวัดขนาดลูกเห็บอย่างเป็นทางการของสหรัฐ ซึ่งเริ่มต้นจากขนาดเท่าขนาด"เมล็ดถั่ว" ไล่เรียงไปเป็นลูกเหม็นวอลนัท ถ้วยน้ำชา จนถึงลูกซอฟต์บอล ก้อนลูกเห็บของออโรร่านี้มีขนาดพอ ๆ กับผลแตงโมขนาดย่อม และพุ่งลงสู่พื้นโลกด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ลูกเห็บสร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและพืชผลของสหรัฐเป็นมูลค่ามากถึงปีละ 1,000 ล้านดอลลาร์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 1984 พายุลูกเห็บลูกหนึ่งเข้าโจมตีนครมิวนิค ประเทศเยอรมนี สร้างความเสียหายให้แก่ต้นไม้ อาคาร และยานพาหนะจำนวนมหาศาล คิดเป็นมูลค่ามากถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ ทั้ง ๆ ที่พายุลูกดังกล่าวกินเวลาไม่นานในช่วงบ่ายวันนั้น ต้นไม้ถูกกวาดเรียบออกจากสองฝั่งแม่น้ำ ท้องไร่ถูกทำลายจนจำสภาพเดิมไม่ได้ อาคารมากกว่า 70,000 หลังและรถยนต์มากกว่า 250,000 คันได้รับความเสียหายย่อยยับ รวมทั้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 400 คน
อย่างไรก็ตาม พายุลูกเห็บที่ร้ายแรงที่สุดในโลกเกิดขึ้นที่ ตำบลโกปาลังจ์ (Gopalanj) ในบังคลาเทศ
เมื่อเดือนเมษายนปี 1986 ลูกเห็บบางก้อนหนักมากกว่า 1 กิโลกรัม และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 92 คน
สถานที่ใดแห้งแล้งที่สุดในโลก
ทวีปแอนตาร์กติก้า ที่ข้วโลใต้ พื้นที่บางส่วนของทวีปแห่งนี้ไม่เคยมีฝนตกมาเป็นเวลา 2 ล้านปีแล้ว
ในทางเทคนิคแล้ว คำจำกัดความของทะเลทรายคือ สถานที่ที่ได้รับน้ำฝนในปริมาณไม่ถึง 10 นิ้วต่อปี
ทะเลทรายซาฮาร่าได้รับน้ำฝนไม่ถึง 1 นิ้วในแต่ละปี
ประริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของแอนตาร์กติก้าก็ไม่ต่างออกไปสักเท่าไหร่แต่ก็มีพื้นที่ 2 เปอเซ็นของทวีปนี้ที่ปราศจากน้ำแข็งและหิมะ รวมทั้งไม่มีฝนตกมาเลย พื้นที่บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่าหุบเขาแห้ง (Dry Valley)
สถานที่แห้งแล้งที่สุดในโลกรองลงมาคือ ทะเลทราย อะตากามาในประเทศชิลี
ซึ่งในบางพื้นที่ไม่มีฝนตกมานานกว่า 400 ปีแล้วและปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีก็น้อยกว่า 0.004 นิ้ว ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทะเลทรายทั้งหมดแล้วมันจึงครองตำแหน่งทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกไปโดยปริยายเรียกได้ว่าแห้งแล้งกว่าทะเลทรายซาฮาร่ามากถึง 250 เท่าเลยทีเดียว
นอกจากแอนตาร์กติก้าจะเป็นสถานที่แห้งแล้งที่สุดในโลกแล้ว มันยังเป็นสถานที่ที่มีน้ำมากที่สุดและมีลมกระโชกรุนแรงมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยคุณจะพบน้ำจืด 70 เปอร์เซ็นของโลก ได้ที่นี่ในรูปของน้ำแข็ง และความเร็วลมที่นี่ก็รุฯแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกกันมาเลยทีเดียว
ลักษณะพิเศษของหุบเขาแห้งของแอนตารกติก้าเกิดขึ้นจากสายลมพัดลงเขา (Katabatic Wind) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศที่หนาวเหน็บและหนาแน่นถูกพัดลงมาจากภูเขาด้วยอิธิพลของแรงโน้มถ่วง ความเร็วลมดังกล่าวอาจรุณแรงได้ถึง 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ความชื้นทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำแข็ง น้ำ และหิมะ ระเหยไปจนหมด
แม้ว่าแอนตาร์กติกาจะเป็นทะเลทราย แต่เรื่องน่าขันคือพื้นที่ตรงส่วนที่แห้งที่สุดของทวีปกลับถูกเรียกว่า โอเอซิส มันมีสภาพคล้ายกับดาวอังคารมากจนนาซ่าใช้เป็นสถานที่ทดสอบภารกิจของยานไวกิ้ง
ในทางเทคนิคแล้ว คำจำกัดความของทะเลทรายคือ สถานที่ที่ได้รับน้ำฝนในปริมาณไม่ถึง 10 นิ้วต่อปี
ทะเลทรายซาฮาร่าได้รับน้ำฝนไม่ถึง 1 นิ้วในแต่ละปี
ประริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยของแอนตาร์กติก้าก็ไม่ต่างออกไปสักเท่าไหร่แต่ก็มีพื้นที่ 2 เปอเซ็นของทวีปนี้ที่ปราศจากน้ำแข็งและหิมะ รวมทั้งไม่มีฝนตกมาเลย พื้นที่บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่าหุบเขาแห้ง (Dry Valley)
สถานที่แห้งแล้งที่สุดในโลกรองลงมาคือ ทะเลทราย อะตากามาในประเทศชิลี
ซึ่งในบางพื้นที่ไม่มีฝนตกมานานกว่า 400 ปีแล้วและปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีก็น้อยกว่า 0.004 นิ้ว ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทะเลทรายทั้งหมดแล้วมันจึงครองตำแหน่งทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุดในโลกไปโดยปริยายเรียกได้ว่าแห้งแล้งกว่าทะเลทรายซาฮาร่ามากถึง 250 เท่าเลยทีเดียว
นอกจากแอนตาร์กติก้าจะเป็นสถานที่แห้งแล้งที่สุดในโลกแล้ว มันยังเป็นสถานที่ที่มีน้ำมากที่สุดและมีลมกระโชกรุนแรงมากที่สุดในโลกอีกด้วย โดยคุณจะพบน้ำจืด 70 เปอร์เซ็นของโลก ได้ที่นี่ในรูปของน้ำแข็ง และความเร็วลมที่นี่ก็รุฯแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกกันมาเลยทีเดียว
ลักษณะพิเศษของหุบเขาแห้งของแอนตารกติก้าเกิดขึ้นจากสายลมพัดลงเขา (Katabatic Wind) ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่ออากาศที่หนาวเหน็บและหนาแน่นถูกพัดลงมาจากภูเขาด้วยอิธิพลของแรงโน้มถ่วง ความเร็วลมดังกล่าวอาจรุณแรงได้ถึง 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้ความชื้นทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของน้ำแข็ง น้ำ และหิมะ ระเหยไปจนหมด
แม้ว่าแอนตาร์กติกาจะเป็นทะเลทราย แต่เรื่องน่าขันคือพื้นที่ตรงส่วนที่แห้งที่สุดของทวีปกลับถูกเรียกว่า โอเอซิส มันมีสภาพคล้ายกับดาวอังคารมากจนนาซ่าใช้เป็นสถานที่ทดสอบภารกิจของยานไวกิ้ง
ป้ายกำกับ:
ทวีปแอนตาร์กติก้า,
ทะเลทราย,
ทะเลทรายซาฮาร่า,
ทะเลทรายอะตากามา,
อะตากามา
ผีเสื้อกลางคืนคิดยังไงกับเปลวไฟ
พวกมันไม่ได้หลงไหลในเปลวไฟหรอก พวกมันแค่รู้สึกเสียศูนย์เท่านั้นเอง

เมื่อมนุษย์มาพร้อมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขนาดจิ๋วแบบพกพา พอผีเสื้อกลางคืนบินผ่าน แสงไฟเหล่านั้นก็จะทำให้พวกมันมึนงง พวกมันคิดเอาเองว่า สงสัยคงกำลังบินเป็นเส้นโค้งแน่ ๆ เพระตำแหน่งของพวกมันเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ซึ่งยังอยู่ที่เดิมนั้น เปลี่ยนแปลงไปอย่างคาดไม่ถึง
ดังนั้น ผีเสื้อกลางคืนก็เลยปรับเปลี่ยนทิศทางการบินจนกระทั่งมองเห็นแสงคงที่อีกครั้ง เมื่อแหล่งแสงสว่างเข้ามาใกล้มาก หนทางเดียวที่บินได้คือบินหมุนไปหมุนมาเป็นวงกลม
ป.ล. ผืเสื้อกลางคืนไม่ได้กินเสื้อผ้าคุณนะครับ (แต่เป็นฝีมือของหนอนผีเสื้อ ทายาทของมันต่างหาก)ภูเขาที่มีความสูงมากที่สุดในโลกมีชื่อว่าอะไร
คำตอบที่ผิดคือเอเวอร์เรสต์
ที่ถูกคือ มัวนาเคีย ซึ่งเป็นจุดสูงสุดบนหมู่เกาะฮาวาย
ยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทลูกนี้สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,206 เมตร แต่เมื่อวัดจากตีนเขาซึ่งอยู่ที่ระดับพื้นดินใต้ทะเลจะสูงถึง 10,200 เมตร ซึ่งสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ประมาณ 1,200 เมตร
ถ้าว่ากันด้วยเรื่องภูเขาแล้ว ข้อตกลงที่ยอมรับกันในปัจจุบัน คือ คำว่า "สูงสุด" จะหมายถึงการวัดจากระดับน้ำทะเลไปจนถึงยอดเขา ส่วนคำว่า "มีความสูงที่สุด" จะหมายถึงการวัดจากตีนเขาไปจนถึงยอดเขา ดังนั้น ในขณะที่เอเวอร์เรสต์เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลกที่ระดับ 8,848 เมตร มันกลับไม่ใช่ภูเขาที่สูงที่สุดแต่อย่างใด
การวัดความสูงของภูเขานั้นซับซ้อนกว่าที่ตาเห็น เพราะการมองหายอดเขาเป็นเรื่องง่าย แต่ที่ยากคือการมองหาตีนเขา ยกตัวอย่างเช่น บางคนแย้งว่า ภูเขาคิลิมันจาโรในประเทศแทนซาเนียซึ่งมีความสูง 5,895 เมตร นั้นสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์เพราะว่ามันตั้งอยู่ตรงกลางที่ราบของทวีปแอฟริกา ในขณะที่เอเวอร์เรสต์นั้นเป็นเพียงหนึ่งในยอดเขาหลาย ๆ ยอดที่โผล่ออกมาจากฐานขนาดมหึมาของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาที่สูงที่สุดในโลกอันดับลองลงมาอีก 13 ลูก
ขณะที่บางคนอ้างว่า วิธีที่สมเหตุสมผลที่สุดคือการวัดระยะทางจากยอดเขาไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลกเนื่องจากโลกใบนี้ไม่ได้มีทรงกลมอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ ออกไปในทางวงรีนิด ๆ ดังนั้น ระยะทางจากเปลือกโลกบริเวณเส้นศูนย์สูตรไปจนถึงจุดกึ่งกลางของโลกประมาณ 21 กิโลเมตร จึงถือเป็นข่าวดีสำหรับภูเขาทั้งหลายที่ตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรที่จะได้มีชื่อเสียงโด่งดังบ้าง อย่างภูเขาชิมโบราโซในเทือกเขาแอนดีส แต่ก็หมายถึงการยอมรับว่า แม้แต่ชายหาดในเอกวาดอร์ก็ยังสูงกว่าเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน
ถึงแม้หิมาลัยจะมีขนาดมหึมา แต่ก็มีอายุน้อยอย่างน่าทึ่ง เพราะตอนที่มันก่อตัวขึ้นมา ไดโนเสาร์เพิ่งจะสูญพันธุ์ไปแค่ 25 ล้านปีเท่านั้น ในประเทศเนปาล เอเวอร์เลสต์เป็นที่รู้จักกันในนามของโจโมลังม่า (มาลดาแห่งจักรวาล) ส่วนที่ทิเบต มันมีชื่อเรียกว่าซากามาณ์ธา (หน้าผากแห่งนภา) ทุกวันนี้ มันก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ซึ่งยังคงเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะด้วยอัตราที่ไม่น่าตื่นตาตื่นใจนัก คือปีละไม่ถึง 0.25 นิ้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)